Siemens Openter Execution
Siemens Opcenter Execution

MES คืออะไร ?
MES (Manufacturing Execution System) คือ ระบบบริหารจัดการการผลิต ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้โรงงานสามารถควบคุม, ติดตาม, และจัดการกระบวนการผลิตในแบบเรียลไทม์ (Real-Time) ตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตไปจนถึงการจัดส่งสินค้า เป้าหมายหลัก ของ MES คือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต, ลดความสูญเปล่า, และปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์
หน้าที่หลักของ MES
MES ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างระบบวางแผนระดับสูง (เช่น ERP - Enterprise Resource Planning) และระบบปฏิบัติการระดับล่าง (เช่น PLC - Programmable Logic Controller) โดยทำงานครอบคลุมในหลายส่วน ดังนี้:
- ติดตามและควบคุมกระบวนการผลิตในโรงงานแบบเรียลไทม์
- บันทึกข้อมูลกระบวนการผลิต (Batch Records) เพื่อเพิ่มความแม่นยำและโปร่งใส
- ตรวจสอบคุณภาพในทุกขั้นตอนของการผลิต
- ช่วยลดข้อผิดพลาดในกระบวนการและเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
- บันทึกและติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำ (วัตถุดิบ) จนถึงปลายน้ำ (สินค้าสำเร็จรูป)
- รองรับข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานการผลิต
- เชื่อมต่อข้อมูลจากเครื่องจักรและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ในสายการผลิต
- ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น
- ตรวจวัด KPIs เช่น OEE (Overall Equipment Effectiveness) เพื่อประเมินและปรับปรุงประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการการผลิต (Production Management)
การควบคุมคุณภาพ (Quality Management)
การติดตามและตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
การเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-Time Data Collection)
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการผลิต (Performance Analysis)
5 สัญญาณเตือนว่าควรเปลี่ยนมาใช้ระบบ MES
- การกรอกเอกสารหรือ Excel ในการติดตามกระบวนการผลิต ซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลด้วยมือ
- ไม่มีข้อมูล แบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์สถานะการผลิต เช่น การหยุดเครื่องจักร (Downtime) หรือปัญหาวัตถุดิบหมด
- เครื่องจักรในสายการผลิตหยุดทำงานบ่อย แต่คุณไม่สามารถระบุสาเหตุหรือเวลาเฉพาะเจาะจงได้
- ไม่มีระบบที่ช่วยแจ้งเตือนการหยุดเครื่องหรือบันทึกสถิติการทำงานของเครื่องจักร
- วัตถุดิบหมดกลางกระบวนการผลิตเนื่องจากการจัดการที่ไม่แม่นยำ
- ไม่สามารถติดตามการใช้วัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปได้ในแบบ Real-time
- พบข้อบกพร่องในผลิตภัณฑ์ที่เกิดซ้ำ ๆ แต่ไม่ทราบต้นตอของปัญหา
- ไม่มีการบันทึกและติดตามข้อมูลที่เกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพ
- ไม่สามารถบริหารจัดการคำสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การส่งมอบสินค้าไม่ตรงเวลาเนื่องจากการผลิตล่าช้าหรือขาดแผนงานที่ชัดเจน
ข้อมูลการผลิตขาดความชัดเจนและไม่เป็นปัจจุบัน
การหยุดเครื่องจักรบ่อยครั้งและขาดการตรวจสอบสาเหตุ
การจัดการสินค้าคงคลังและวัตถุดิบขาดประสิทธิภาพ
คุณภาพผลิตภัณฑ์ไม่คงที่
การส่งมอบล่าช้าและไม่สามารถรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น
ประโยชน์ 8 ประการเมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบ MES
- ลดการสูญเสียเวลา (Downtime) MES สามารถติดตามและวิเคราะห์สาเหตุของการหยุดทำงานในกระบวนการผลิตได้แบบเรียลไทม์
- การผลิตแบบ Lean ลดของเสีย (Waste) และทรัพยากรที่ใช้งานเกินจำเป็น
- การวางแผนการผลิตที่แม่นยำ MES ทำให้สามารถคาดการณ์และวางแผนการผลิตได้ดียิ่งขึ้น
- MES ให้ข้อมูลที่อัปเดตแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับสถานะเครื่องจักร, การใช้วัสดุ, และปริมาณการผลิต
- ผู้จัดการสามารถตรวจสอบ Key Performance Indicators (KPIs) ได้ทันที เช่น OEE (Overall Equipment Effectiveness)
- การใช้ MES ช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการทำงานด้วยมนุษย์ เช่น การบันทึกข้อมูลที่ผิดพลาด
- การบันทึกข้อมูลอัตโนมัติช่วยให้ข้อมูลมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ
- การตรวจสอบคุณภาพ (Quality Control) MES ช่วยบันทึกและตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ตลอดสายการผลิต
- การวิเคราะห์ข้อบกพร่อง: MES รวบรวมข้อมูลข้อผิดพลาดเพื่อนำไปวิเคราะห์และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ในอนาคต
- ช่วยในการติดตามการใช้ทรัพยากร เช่น วัตถุดิบ, แรงงาน, และพลังงาน ทำให้รู้ต้นทุนการผลิตที่เเท้จริง
- ลดการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น และช่วยให้กระบวนการผลิตเป็นไปตามแผนที่กำหนด
- MES สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) และ AI (Artificial Intelligence) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)
- รองรับการเชื่อมต่อกับระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เพื่อรวมข้อมูลทั้งองค์กร
- MES ให้ข้อมูลที่โปร่งใสเกี่ยวกับการผลิต ตั้งแต่การรับวัตถุดิบจนถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป
- ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders)
- MES ช่วยรวบรวมข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับการวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการผลิต
- สามารถใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจทางธุรกิจ เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตหรือการลดต้นทุน
เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
การติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-Time Monitoring)
ลดข้อผิดพลาดจากการปฏิบัติงาน (Human Errors)
ปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์
การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
รองรับการทำงานในระบบอุตสาหกรรม 4.0
เพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการผลิต
การวิเคราะห์และวางแผนการผลิต
สรุป
การเปลี่ยนมาใช้ MES ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโรงงาน แต่ยังช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิต, ลดต้นทุน, และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ทำให้โรงงานสามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้นและรองรับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล โดยใช้ตัวชี้วัด Framework RRP (Resource, Process, Profit) พบว่า
- Resource ลดลง 20% เมื่อเทียบกับแบบเดิมที่โรงงานงานใช้อยู่
- Process ลดลง 20% เมื่อเทียบกับแบบเดิมที่โรงงานงานใช้อยู่
- Profit เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับแบบเดิมที่โรงงานงานใช้อยู่
ทั้งนี้ทั้งนั่นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเเต่ล่ะโรงงานควรเลือกให้เหมาะกับระบบของโรงงานนั่นๆ จะเป็นการดีที่สุด
Bow Commercial
ให้บริการ Digital Transformation ครบวงจรทางด้านโปรแกรมทางวิศวกรรม และการออกแบบที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ ผลิตภัณฑ์ และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ตั้งแต่การเริ่มต้นออกแบบ จนถึงกระบวนการผลิต ด้วยทีมงาน มืออาชีพที่มีประสบการณ์ โดยมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างความสําเร็จให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ติดต่อขอรับคำปรึกษาได้ฟรี โทร. 02-076-8100 ต่อ 31 หรือ 34 ,E-mail: info@bowcommercial.digital